bih.button.backtotop.text

โรคหัวใจ

หัวใจ เป็นอวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ มีขนาดเท่ากำปั้น ภายในกลวง หัวใจจะอยู่ใต้กระดูกหน้าอก โดยมีตำแหน่งอยู่ในบริเวณส่วนกลางของหน้าอก ค่อนข้างไปทางซ้ายเล็กน้อย
หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตเพื่อนำพาออกซิเจนและธาตุอาหารไปยังทุกส่วนของร่างกาย หัวใจแบ่งออกเป็น 4 ห้อง มี 2 ห้องบน และ 2 ห้องล่าง หัวใจซีกขวารับโลหิตที่ใช้แล้วจากร่างกาย แล้วสูบฉีดไปยังปอดเพื่อรับออกซิเจน โลหิตที่มีออกซิเจนก็จะกลับไปยังหัวใจด้านซ้าย และก็จะถูกสูบฉีดโลหิตผ่านเส้นเลือดใหญ่ไปยังทุกส่วนของร่างกาย

ลิ้นปิดเปิดในหัวใจมี 4 ลิ้น มีตำแหน่งอยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง และที่เส้นเลือดหลักในหัวใจ ลิ้นหัวใจทำหน้าที่กั้นเพื่อให้การสูบฉีดโลหิตไหลไปในทิศทางเดียว
ในขณะที่ร่างกายพักผ่อน หัวใจจะมีอัตราการเต้นประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที การเต้นหรือการบีบตัวแต่ละครั้งเกิดจากตัวกระตุ้นทางกระแสไฟฟ้าซึ่งถูกกระตุ้นโดยเซลล์พิเศษที่ชื่อ SA node กระแสไฟฟ้าที่ถูกกระตุ้นจาก SA node จะเดินทางผ่านชุดเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ทั่วทั้งห้องหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ

โรคหัวใจคืออะไร

โรคหัวใจ คือภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ อันเกิดจากสภาวะต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, ภาวะหัวใจล้มเหลว, โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคลิ้นหัวใจ, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น
  • เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก ร้าวไปที่กราม แขน ไหล่ หรือลิ้นปี่
  • เหนื่อยง่าย
  • หายใจถี่ หายใจไม่อิ่ม 
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ 
  • ใจสั่น 
  • วิงเวียนศีรษะ 
  • บวมตามแขน ขา เท้า 
  • นอนราบไม่ได้ 
  • อ่อนเพลีย 
  • ไอเรื้อรังแห้ง ๆ 
  • โรคหัวใจขาดเลือด (Coronary artery disease) หรือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดจาก หลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน รักษาโดย การเปิดหลอดเลือดด้วยการใส่ขดลวดผ่าน สายสวน หรือการผ่าตัดบายพาส
  • โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia)  (ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ) เกิดจากระบบไฟฟ้าหัวใจทํางานผิดปกติ ทำให้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น เต้นช้า เต้นเร็วเกินไป ถ้ารุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที หรือเสี่ยง ต่อการเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต รักษาด้วย การจี้ไฟฟ้าหัวใจ
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลง ส่งผลกระทบ ต่อการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แนวทางการรักษาคือการใช้ยา หรือการใช้เครื่อง พยุงหัวใจในแบบต่างๆ
  • โครงสร้างของหัวใจผิดปกติ (structural heart disease) มีความผิดปกติที่ลิ้นหัวใจ หรือเยื่อบุ เยื่อหุ้มหัวใจ คนไข้กลุ่มนี้จําเป็นต้องได้รับการตรวจติดตามผล อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผ่านทางสายสวน หรือผ่าตัดแก้ไขอย่างทันท่วงที
  • โรคหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Cardiogenetics) เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคไหลตาย โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น โชคดีที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความรู้ทางพันธุกรรม ทําให้สามารถตรวจหายีน และระบุแนวโน้มโรคหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การตรวจยีนสามารถช่วยชีวิตผู้ที่ยังไม่แสดงอาการ ของโรค หรือช่วยในการวางแผนมีบุตร
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำเป็นต้องได้รับการรักษา และดูแลอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต แม้ภายหลังการผ่าตัดแก้ไขแล้ว
ประเภทของโรคหัวใจ
  1. อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมักจะมีอาการเจ็บหนัก ๆ เหมือนมีอะไรมาทับหรือรัดบริเวณกลางหน้าอกหรือใต้กระดูกกลางหน้าอก อาจมีร้าวไปบริเวณคอ กราม ไหล่ และแขนทั้ง 2 ข้างโดยเฉพาะข้างซ้าย เป็นมากขณะออกแรง เป็นนานครั้งละ 2-3 นาที เมื่อนั่งพักหรืออมยาขยายหลอดเลือดใต้ลิ้นอาการจะทุเลาลง
  2. อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เกิดจากความผิดปกติในขั้นตอนการสร้างอวัยวะตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ ซึ่งอาจแสดงอาการได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือในวัยเด็ก โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ หายใจเร็วหรือหอบ เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง โตช้า เลี้ยงไม่โต หน้าอกโป่ง เขียวที่ริมฝีปากหรือปลายเล็บ ใจสั่น เจ็บหน้าอก และเป็นลม ในบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจนแต่ตรวจพบเสียงหัวใจผิดปกติ
  3. อาการของโรคลิ้นหัวใจ อาการของโรคลิ้นหัวใจมักแสดงออกผ่านความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ เช่น เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง อ่อนเพลียแม้ไม่ได้ทำงานหนัก หายใจลำบากโดยเฉพาะเวลานอนราบหรือใช้แรง ใจสั่นหรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอกเมื่อหัวใจทำงานหนัก บวมที่ขาหรือข้อเท้าเนื่องจากการสูบฉีดเลือดไม่ดี และอาจมีอาการเวียนศีรษะหรือเป็นลมในกรณีที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
  4. อาการของโรคของกล้ามเนื้อหัวใจ มักแสดงอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ เหนื่อยง่าย และอาจมีอาการบวมที่ขา เท้า หรือข้อเท้า ในบางรายอาจมีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัส เช่น มีไข้ ปวดเมื่อย เจ็บคอ หรือท้องเสีย แต่ผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่มีอาการแสดงชัดเจน แต่จะเริ่มแสดงอาการชัดเจนขึ้นเมื่อระยะของโรคเข้าสู่ระยะที่รุนแรง
  5. อาการของภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย อาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก โดยเฉพาะเวลานอนราบหรือออกแรง มีอาการบวมที่ขา เท้า หรือหน้าท้อง ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไอเรื้อรังหรือมีเสมหะสีชมพู และอาจมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลมได้ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
  6. อาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ มักพบภาวะนี้จากการตรวจสุขภาพหรือเมื่อป่วยด้วยโรคอื่นแล้วมาพบแพทย์ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปรากฏให้สังเกตได้ เช่น วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั่นบริเวณหน้าอก หายใจขัด เจ็บแน่นบริเวณหน้าอก เป็นลม หมดสติ เป็นต้น
  7. อาการของโรคของเยื่อหุ้มหัวใจ อาการเจ็บหน้าอก ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทง บางรายอาจรู้สึกเหมือนมีแรงกดที่หน้าอก เจ็บที่กระดูกหน้าอกหรือหน้าอกด้านซ้ายร้าวไปยังไหล่ซ้ายและคอ ซึ่งจะแย่ลงเมื่อไอ หายใจเข้าลึก ๆ นอนหงาย และดีขึ้นเมื่อโน้มตัวไปข้างหน้าหรือลุกขึ้นนั่ง เป็นต้น 

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจบ่งชี้ว่าน่าจะมีส่วนในการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหัวใจได้

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจบ่งชี้ว่าน่าจะมีส่วนในการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหัวใจได้นั้น จะแบ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง และจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง

  • พันธุกรรม ประวัติในครอบครัว หากมีประวัติของพ่อ แม่ ปู่ย่าตายาย หรือพี่น้องเป็นโรคหัวใจ ท่านก็มีโอกาสมากที่จะเป็นโรคหัวใจ
  • อายุ 55 ปีขึ้นไป โรคหลอดเลือดหัวใจมีความเกี่ยวเนื่องกับอายุที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไรก็มีโอกาสเกิดไขมันในผนังหลอดเลือดมากขึ้นเท่านั้น
  • เพศ จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดหัวใจพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศหญิงตัวหนึ่งที่ช่วยควบคุมปริมาณไขมันให้อยู่ในระดับพอดี ซึ่งผู้หญิงในวัยหลังหมดประจำเดือนก็มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้นด้วย

ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้

  • การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อหัวใจวายมากกว่าสองเท่า และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างกะทันหันคิดป็นสองถึงสี่เท่าของคนไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเป็นอันตรายต่อสมาชิกในครอบครัวด้วย สารนิโคตินในบุหรี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น คาร์บอนมอนนอกไซด์ในควันบุหรี่จะเกาะติดกับฮีโมโกลบินในเลือดได้ง่ายกว่าออกซิเจน ดังนั้นหัวใจอาจจะไม่ได้รับออกซิเจนพอกับความต้องการ นอกจากนี้สารเคมีเหล่านี้ก็อาจจะทำความเสียหายให้กับผนังหลอดเลือดด้วย
  • ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงสามารถกระตุ้นให้กระบวนการของการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือดเกิดได้เร็วขึ้น และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เนื่องจากต้องสูบฉีดโลหิตแรงขึ้นเพื่อจะส่งไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว หรือภาวะสมองขาดเลือด ท่านสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ด้วยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รู้จักผ่อนคลายและหาวิธีจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น
  • โคเลสเตอรอลสูง โคเลสเตอรอลคือไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราสามารถผลิตขึ้นและพบในอาหารบางชนิด เมื่อเริ่มมีภาวะของโรคหลอดเลือดหัวใจเกิดขึ้น พบว่าโคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบหลักของไขมันที่พบและมีการสะสมในหลอดเลือดหัวใจ ยิ่งมีระดับโคเลสโตรอลในเลือดสูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการพัฒนาและเติมโตของโรคมากขึ้นเท่านั้น เพื่อรักษาระดับการรักษาระดับโคเลสเตอรอลในเลือดให้เป็นปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องวางแผนการรับประทานอาหารโดยเลือกแต่อาหารที่มีไขมันและโคเลสเตอรอลต่ำเท่านั้น
  • เบาหวาน โรคเบาหวาน คือความผิดปกติที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุเกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ (ฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ช่วยนำน้ำตาลออกจากเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย) หรืออาจเกิดจากร่างกายต่อต้านอินซูลินที่มีอยู่ การมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานอาจเป็นสาเหตุของการทำลายผนังภายในของหลอดเลือด และยังกระตุ้นให้มีคราบสะสมเกาะภายในผนังหลอดเลือดอีกด้วย
  • ขาดการออกกำลังกาย  การไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ การออกกำลังกายเป็นประจำมีประโยชน์สุขภาพร่างกายเป็นอย่างมาก เช่น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ควบคุมน้ำหนักตัว และยังช่วยลดความเครียดของท่านได้อีกด้วย 

การตรวจเพื่อวินิจฉัยเพื่อป้องกันโรคหัวใจ

  • การตรวจสุขภาพ การตรวจร่างกายโดยละเอียดช่วยให้ระบุได้ว่าเป็นโรคหัวใจ หรือกำลังจะเริ่มเป็นโรคหัวใจ ประวัติสุขภาพก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน จะมีข้อซักถามหลายๆ ข้อ เช่น ประวัติการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และนิสัยการออกกำลังกาย ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติสุขภาพของตนเองและของบุคคลภายในครอบครัวก็เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกัน
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG or ECG) ECG เป็นคำย่อของคำภาษาอังกฤษว่า Electrocardiogram ภาษาไทยเรียกว่าการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นการตรวจรูปแบบของจังหวะคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แผ่นนำไฟฟ้าจะถูกวางบนหน้าอกเพื่อจับสัญญาณกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะพิมพ์ออกมาบนกระดาษกราฟ รูปแบบของสัญญาณที่สม่ำเสมอแสดงว่าหัวใจทำงานปกติ แต่ถ้ามีความแตกต่างในบางจุดของรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าก็อาจแสดงว่ามีบริเวณหนึ่งบริเวณใดของหัวใจได้รับบาดเจ็บหรือถูกทำลาย วิธีการตรวจประเภทนี้ไม่ซับซ้อนและสามารถรับการตรวจได้ทั่วไป
  • การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test) การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกายก็คล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจคือ จะมีแผ่นตะกั่วชุดหนึ่งแปะติดกับหน้าอก มีการบันทึกในขณะที่ออกกำลังกาย เช่น การเดินบนสายพาน หรือการขี่จักรยานอยู่กับที่ การออกกำลังกายนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น และความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น การทดสอบนี้ใช้วัดค่าการตอบสนองของหัวใจต่อความเครียดทางร่างกายด้วย เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าในร่างกาย จำนวนของเลือดที่ไหลไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจที่ตอบสนองต่อการออกกำลังกาย
  • การตรวจหาระดับเอนไซม์ในเลือด (Blood enzyme tests) Cardiac enzymes คือสารที่อยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อหัวใจถูกทำลาย เอนไซม์ตัวนี้จะถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด การตรวจเลือดหาด้วยวิธีการนี้จะแสดงให้เห็นถึงระดับเอนไซม์ที่เพิ่มขึ้นหากคุณมีภาวะหัวใจวาย
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) การตรวจคลื่นหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูงใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อจับภาพเคลื่อนไหวของหัวใจ แพทย์จะศึกษาภาพเพื่อวัดและระบุถึงการทำงานและโครงสร้างของหัวใจ
  • การตรวจ Radionuclide Scan Radionuclide Scan เป็นการตรวจโดยใช้รังสีฉีดเข้ากระแสเลือดและไหลเข้าสู่หัวใจ กล้องชนิดพิเศษจะถ่ายภาพหัวใจแสดงบนจอภาพ เพื่อแพทย์จะได้สังเกตเห็นถึงการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจของท่าน
  • การวินิจฉัยด้วยการสวนหัวใจ การวินิจฉัยด้วยการสวนหัวใจเป็นการตรวจเอ็กซเรย์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยสอดสายยางขนาดเล็กเข้าทางหลอดเลือดที่ขาหนีบและสอดไปตามเส้นเลือดที่เข้าสู่หัวใจ สารมีสีชนิดพิเศษจะถูกฉีดผ่านสายยางนี้ เส้นเลือดในบริเวณที่มีภาวะตีบหรืออุดตันก็จะสามารถตรวจพบจากจอภาพเอ็กซเรย์

การรักษาโรคหัวใจมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะใช้ปัจจัยหลายๆ ข้อมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะวินิจฉัยว่าควรใช้วิธีใดในการรักษา ตั้งแต่การรักษาด้วยยา, การรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจ และการปลูกถ่ายหัวใจ

  • การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน วัตถุประสงค์ของการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนคือเพื่อดันไขมันที่อุดตันหลอดเลือดอยู่ให้ไปชิดกับผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดสามารถไหลผ่านจุดที่เคยตีบได้สะดวกขึ้น เมื่อเลือดไหลผ่านได้ดีขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหน้าอกน้อยลง หายใจได้เต็มที่ขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้
  • การผ่าตัดต่อหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจหรือการผ่าตัดบายพาส เป็นการผ่าตัดต่อเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ เพื่อทำทางเบี่ยงเสริมหลอดเลือดบริเวณที่ตีบหรือตันทำให้เลือดผ่านส่วนที่ตีบหรือตันได้ดีขึ้น ส่งผลทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น
  • การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด (TAVI) วิธีการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบอย่างรุนแรง (ลิ้นหัวใจเอออร์ติก คือ ลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายกับหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา) ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยแพทย์จะใช้การรักษาวิธีนี้เมื่อพิจารณาแล้วว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดแบบเปิดช่องอก
  • การรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเกิดก้อนเลือดหรือลิ่มเลือด ที่อาจทำให้เกิดการอุดตันในระบบไหลเวียนของเลือดในร่างกาย
  • การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ การผ่าตัดนำหัวใจใหม่ใส่แทนที่หัวใจหัวใจเดิมของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้ายที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
การป้องกันการเกิดโรคหัวใจสามารถทำได้โดย
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงเพื่อไม่ตัวเองเกิดความเครียด พยายามทำอารมณ์ให้แจ่มใส
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารที่มีเกลือและไขมันอิ่มตัวต่ำ
  • ควบคุมความดันเลือดไม่ให้สูงเกินกว่าเกณฑ์
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และระดับไขมันให้อยู่ในค่าปกติ
  • งดสูบบุหรี่
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกาย(อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 4 ถึง 5 ครั้ง
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
  • รักษาสุขอนามัยป้องกันการติดเชื้อ
การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ

 

ความเสี่ยงโรคหัวใจ จาก ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน

สนับสนุนโดย ร.ต.อ.นพ. สกลวัชร มนต์ไตรเวศย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ

ความเสี่ยงโรคหัวใจ จาก ภาวะความดันโลหิตสูง
สนับสนุนโดย พญ. ปิยฉัตร พิพัฒนพงศ์โสภณ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ
แก้ไขล่าสุด: 16 กันยายน 2568

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์รักษาที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์ลิ้นหัวใจ บำรุงราษฎร์

ดูเพิ่มเติม

ศูนย์รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแบบซับซ้อน

ดูเพิ่มเติม

สถาบันโรคหัวใจ (Heart Institute)

ดูเพิ่มเติม

คะแนนโหวต 9.61 of 10, จากจำนวนคนโหวต 226 คน

Related Health Blogs