แยกแยะอาการในระบบทางเดินอาหาร: แสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือโรคอื่น
มาเรียนรู้กันถึงวิธีที่จะรู้จักและสามารถแยกแยะอาการในทางเดินอาหารที่พบบ่อย เช่น อาการแสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องผูก และท้องเสีย ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างโรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอื่นๆ และมาค้นพบกันว่าเมื่อไหร่ควรขอพบแพทย์เฉพาะทางให้ช่วยเหลือดูแล
ทำไมเราถึงจำเป็นต้องใส่ใจอาการในทางเดินอาหาร
ทุกคนมีอาการอาหารไม่ย่อยเป็นครั้งคราวได้ แต่อาการในทางเดินอาหารเรื้อรังหรือผิดปกติไปอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ความผิดปกติต้นตอซึ่งจำเป็นต้องใส่ใจดูแล หลายโรคมีอาการที่ทับซ้อนคล้ายคลึงกัน เช่น อาการแสบร้อนกลางอก ไอเรื้อรัง ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย ทำให้ยากที่จะแยกแยะว่าอาการไหนร้ายแรงและอาการไหนไม่ร้ายแรง บทความนี้จะเป็นแนวทางให้เรารู้จักและสามารถแยกแยะอาการที่เหมือนๆ กัน และเข้าใจถึงภาวะที่อาการเหล่านั้นอาจบ่งชี้ และเรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
แสบร้อนกลางอก vs. โรคกรดไหลย้อน: เมื่อการไหลย้อนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภาวะกรดเกิน
อาการแสบร้อนกลางอกคืออาการแสบร้อนบริเวณทรวงอกหรือลำคอที่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร มักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่หรือการลงไปอยู่ในท่านอนเร็วเกินไปหลังอาหาร อาการแสบร้อนกลางอกเป็นครั้งคราวเป็นเรื่องปกติ แต่โรคกรดไหลย้อน (GERD) เป็นภาวะเรื้อรัง GERD ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกเท่านั้น แต่ยังมีอาการที่คล้ายกับโรคหู จมูก และลำคอ (แสบคอ จุกแน่นที่คอเรื้อรัง) โรคปอด (ไอเรื้อรัง) และโรคหัวใจ (เจ็บหน้าอกโดยไม่มีปัญหาเรื่องหัวใจ)
สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) มากกว่าจะมีอาการแสบร้อนกลางอกธรรมดา:
- อาการแสบร้อนกลางอกบ่อย (มากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์)
- มีอาหารหรือของเหลวรสเปรี้ยวไหลย้อนขึ้นมาในปาก
- กลืนลำบากหรือรู้สึกเหมือนมีก้อนในลำคอ
- ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบที่ไม่เกี่ยวข้องกับหวัด
- อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องหัวใจ
เนื่องจากอาการของ GERD อาจคล้ายคลึงกับอาการของโรคอื่นๆ แพทย์เฉพาะทางจึงอาจแนะนำให้ทำการตรวจ เช่น การตรวจวัดการทำงานของหลอดอาหารความละเอียดสูง หรือการตรวจติดตามวัดความเป็นกรดในหลอดอาหารเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
IBS และภาวะอื่นๆ: เมื่อลำไส้ทำงานผิดปกติ
กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) เป็นความผิดปกติทางการทำงานของลำไส้โดยที่ลักษณะเด่นคือปวดท้อง ไม่สบายท้อง หรือท้องอืด ซึ่งสัมพันธ์กับการถ่ายอุจจาระหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับถ่ายโดยไม่มีโรคทางกาย อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ท้องผูก ท้องเสีย ท้องผูกสลับท้องเสีย มีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ และรู้สึกถ่ายไม่หมด IBS อาจเกิดจากความเครียด อาหารบางชนิด การติดเชื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม ความผิดปกติอื่นๆ ในการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอาจมีอาการคล้ายคลึงกัน:
- ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า (Gastrapasis) – ภาวะที่กระเพาะอาหารบีบตัวให้อาหารเคลื่อนออกจากกระเพาะไปลำไส้เล็กช้าเกินไป ทำให้รู้สึกแน่นท้องหลังรับประทานอาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และอิ่มเร็ว
- กลุ่มอาการดัมพ์ปิ้ง (Dumping syndrome) – ภาวะที่อาหารเคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเร็วเกินไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียและเวียนศีรษะ
- อาการท้องผูกเรื้อรังหรือภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ – ซึ่งอาจเกิดจากภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ (pelvic floor dyssynergia) หรือการที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวช้า
- ภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กเจริญเติบโตผิดปกติ (SIBO) – แบคทีเรียที่มากเกินไปในลำไส้เล็กอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสีย
- โรคซีลิแอค (Celiac disease) เป็นโรคทางเดินอาหารซึ่งการรับประทานกลูเตน (ในข้าวสาลี) ทำให้เกิดความเสียหายในลำไส้เล็ก ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย หรือท้องผูก
เนื่องจากอาการที่ซ้ำซ้อนกัน การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงมักต้องใช้การตรวจเฉพาะทางนอกเหนือจากการส่องกล้อง เช่น การตรวจการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร การตรวจลมหายใจ การตรวจภาพรังสีวินิจฉัย หรือการตรวจเลือดเฉพาะโรค (เช่น การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคซีลิแอค)
เมื่อไหร่จึงควรกังวล และสิ่งที่ทำได้
เมื่อมีอาการในทางเดินอาหารเรื้อรัง ขออย่าได้ละเลย ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการหากมีอาการดังต่อไปนี้:
- อาการแสบร้อนกลางอก แสบคอ หรือแน่นหน้าอกมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์
- กลืนลำบากน้ำหนักลดหรืออาเจียนโดยไม่มีสาเหตุ
- ไอเรื้อรัง เสียงแหบ หรือมีอาการคล้ายโรคหอบหืดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหรือโรคในทางเดินหายใจ
- ปวดท้อง ท้องอืด หรือพฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
- ท้องผูกหรือท้องเสียนานกว่าสองถึงสามสัปดาห์
การตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่นๆ และการวินิจฉัยที่แม่นยำเป็นเรื่องสำคัญ ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ นักกำหนดอาหาร และนักบำบัด สามารถวินิจฉัยได้ว่าอาการของคุณเกิดจากโรคกรดไหลย้อน (GERD) โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคการเคลื่อนไหวในระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือภาวะของโรคอื่นๆ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. อาการแสบร้อนกลางอกเรื้อรังเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อนเสมอไปหรือไม่
ไม่จำเป็นเสมอไป อาการแสบร้อนกลางอกเป็นครั้งคราวเป็นเรื่องปกติ จะมีการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนเมื่ออาการกรดไหลย้อนเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทำให้เกิดอาการที่น่ารำคาญ เช่น อาการแสบร้อนกลางอก น้ำย่อยที่เป็นกรดไหลย้อนขึ้นมาในปาก ไอเรื้อรัง เจ็บคอ หรือเจ็บหน้าอก อาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน
2. จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) กับโรคลำไส้อื่นๆ ได้อย่างไร
โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) เกี่ยวข้องกับอาการปวดท้องหรือรู้สึกไม่สบายท้องที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการขับถ่ายที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างร่างกาย ภาวะอื่นๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบ โรคซีลิแอค หรือความผิดปกติของการเคลื่อนไหวในทางเดินอาหาร อาจมีลักษณะคล้ายโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และอาจจำเป็นต้องใช้การตรวจด้วยการส่องกล้อง การตรวจความเคลื่อนไหวในทางเดินอาหาร หรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัย
3. โรคกรดไหลย้อน (GERD) ทำให้เกิดปัญหาการหายใจได้ไหม
ได้ การไหลย้อนของทั้งกรดและสิ่งที่ไม่ใช่กรดสามารถทำให้คอและปอดระคายเคือง นำไปสู่อาการไอเรื้อรัง เสียงแหบ หรือทำให้อาการหอบหืดกำเริบ การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมสามารถลดปัญหาเหล่านี้ได้
4. ถ้ามีอาการท้องผูกเรื้อรัง ต้องได้รับการตรวจทางการแพทย์ไหม
อาการท้องผูกเรื้อรังอาจเป็นผลมาจากอาหาร การขาดน้ำ หรือการไม่ออกกำลังกาย แต่ก็อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารได้เช่นกัน เช่น ภาวะลำไส้ใหญ่บีบตัวช้า หรือภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ หากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไม่ได้ผล ควรไปพบแพทย์ การตรวจต่างๆ เช่น การตรวจการเคลื่อนไหวลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย หรือการตรวจการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ สามารถช่วยให้ระบุสาเหตุได้
5. เมื่อไหร่ถึงควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง
หากคุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเรื้อรัง กลืนลำบาก ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ การขับถ่ายเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง หรือมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง การประเมินที่ครอบคลุมจะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่ตรงจุด
การเข้าใจว่าอาการที่แตกต่างกันไปในระบบย่อยอาหารหมายความว่าอย่างไร และการแสวงหาการดูแลรักษาทันท่วงที จะช่วยให้คุณควบคุมสุขภาพลำไส้ได้ ทั้งยังป้องกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เรียบเรียงโดย ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 25 กันยายน 2568