เสริมพลังให้ลำไส้ของเรา ด้วยการปรับนิสัยและการดูแลตัวเอง
มาดูแลสุขภาพระบบย่อยอาหารของเราตามข้อแนะนำที่ทำตามได้ไม่ยากเรื่องอาหาร การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด มาเรียนรู้กันถึงนิสัยที่ช่วยให้ลำไส้ของเราเคลื่อนไหว วิธีป้องกันอาการท้องผูก และเมื่อถึงจุดที่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตยังไม่พอ
สิ่งที่เราเลือกในการใช้ชีวิตประจำวันของเรากำหนดจังหวะการทำงานของลำไส้
ระบบย่อยอาหารที่ทำงานได้ดีต้องอาศัยการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่ประสานสัมพันธ์กัน หรือที่เรียกว่าการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร เพื่อเคลื่อนย้ายอาหารจากหลอดอาหารไปยังลำไส้ใหญ่ส่วนปลายได้อย่างราบรื่น แม้ว่าพันธุกรรมและโรคประจำตัวจะมีบทบาท แต่นิสัยประจำวันก็มีอิทธิพลอย่างมาก การงดอาหารไปบางมื้อ การบริโภคใยอาหารน้อยเกินไป การดื่มน้ำไม่เพียงพอ และการใช้ชีวิตเร่งรีบและนั่งอยู่กับที่เป็นประจำ ล้วนส่งผลต่อจังหวะการทำงานของลำไส้และทำให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารได้ การดูแลตนเองอย่างง่ายๆ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานเป็นปกติและบรรเทาอาการทั่วไป เช่น ท้องอืด ท้องผูก และอาการแสบร้อนกลางอกได้
บำรุงดูแลลำไส้ด้วยมื้ออาหารที่สมดุลและมีใยอาหาร
- รับประทานอาหารเป็นมื้อตรงตามเวลา ระบบย่อยอาหารของเราจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อทำงานเป็นกิจวัตร การงดอาหารเช้าหรือการรับประทานอาหารแต่ละมื้อในเวลาที่ไม่แน่นอนอาจทำให้ระบบย่อยอาหารสับสนได้ ควรรับประทานอาหารที่มีความสมดุลให้ครบสามมื้อ และหากจำเป็น ให้รับประทานของว่างมื้อเล็กๆ ในเวลาเดียวกันในแต่ละวัน
- ให้ความสำคัญกับใยอาหาร ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่างๆ มีใยอาหารทั้งแบบละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ขอให้ค่อยๆ เพิ่มใยอาหารเพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องเฟ้อหรือท้องอืด และควรดื่มน้ำควบคู่ไปด้วย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำจะช่วยให้อุจจาระนิ่มลงและช่วยให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้อย่างราบรื่น ชาสมุนไพรและน้ำซุปก็มีส่วนช่วยให้มีปริมาณน้ำในร่างกายเพียงพอ แต่ควรจำกัดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและน้ำตาลซึ่งอาจทำให้ลำไส้ระคายเคือง
เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อให้ลำไส้เคลื่อนไหว
การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และลดความเครียด แม้แต่การออกกำลังกายสั้นๆ เช่น การเดินเร็ว 20 นาทีหลังอาหาร ก็สามารถช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นได้ ลองทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ หรือเต้นรำ การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานสามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายและช่วยป้องกันภาวะกลั้นการขับถ่ายไม่อยู่ได้
จัดการความเครียดและนอนหลับเพื่อให้ลำไส้ได้พักอย่างสงบบ้าง
สมองและลำไส้เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ความเครียดเรื้อรังและการนอนไม่เพียงพอสามารถทำให้เกิดภาวะอวัยวะภายในช่องท้องไวเกินและทำให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารติดขัด ขอให้ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น:
- การหายใจเข้าลึกๆ หรือการทำสมาธิแบบฝึกสติ
- โยคะหรือไทชิเพื่อผสมผสานการเคลื่อนไหวและสมาธิ
- การนอนหลับอย่างเพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน) เพื่อให้ระบบประสาทได้พักก่อนเริ่มทำงานใหม่
ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตยังไม่พอ
แม้ว่าการดูแลตนเองจะช่วยบรรเทาปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารได้ แต่อาการเรื้อรังหรือรุนแรง เช่น อาการแสบร้อนกลางอกเรื้อรัง กลืนลำบาก ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ท้องผูก หรือท้องเสียต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารที่เป็นพื้นฐาน การประเมินตั้งแต่เนิ่นๆ โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ระบบทางเดินอาหาร นักกำหนดอาหาร และนักบำบัด ช่วยให้สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำและรักษาได้ตรงจุด หากจำเป็นต้องตรวจทดสอบ เช่น การตรวจการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร การตรวจกรดไหลย้อน หรือการตรวจลมหายใจ ทีมงานของโรงพยาบาลจะแนะนำวิธีการเตรียมตัว (โดยมักจะให้งดอาหารสี่ถึงแปดชั่วโมงและหยุดยาบางชนิด)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. อาหารชนิดใดบ้างช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น
อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวโอ๊ต แอปเปิล ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักใบเขียว ถั่ว และถั่วเลนทิล ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ อาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ และกิมจิ มีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ซึ่งช่วยสนับสนุนการย่อยอาหาร ไขมันดีจากน้ำมันมะกอก ถั่ว และอโวคาโด ช่วยหล่อลื่นลำไส้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเฟ้อหรือท้องอืดได้
2. การออกกำลังกายสามารถป้องกันอาการท้องผูกได้จริงไหม
จริง การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและกระตุ้นกล้ามเนื้อของทางเดินอาหาร ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ แม้แต่กิจกรรมเบาๆ เช่น การเดินหรือการยืดกล้ามเนื้อ ก็สามารถช่วยให้อุจจาระเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ใหญ่ได้
3. จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหาร FODMAP ทั้งหมดไหม (อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตสายสั้นที่ร่างกายย่อยและดูดซึมได้ยาก)
ไม่จำเป็น ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนบางรายได้รับประโยชน์จากการอดอาหารประเภท FODMAP บางชนิดเป็นการชั่วคราวภายใต้คำแนะนำของนักกำหนดอาหาร อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีกากใยสูงหลายชนิดมีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เลิกหรือหลีกเลี่ยงไปทั้งหมดแบบเหมารวม เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
4. โปรไบโอติกส์หรืออาหารเสริมจำเป็นไหม
โปรไบโอติกส์อาจเป็นประโยชน์ต่อบางคนโดยช่วยให้ไมโครไบโอมหรือกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ แต่โปรไบโอติกส์ไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง การรับประทานอาหารที่หลากหลายซึ่งอุดมไปด้วยไยอาหารและอาหารหมักดองมักให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์เพียงพอ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมเสมอ
5. เมื่อไหร่ถึงควรจะไปขอคำแนะนำจากแพทย์
หากมีอาการแสบร้อนกลางอกเรื้อรัง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออก ปวดท้องอย่างรุนแรง กลืนลำบาก อาเจียนบ่อย หรือพฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไปอยู่นานกว่าสองสามสัปดาห์ ควรไปพบแพทย์ การประเมินตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเราไม่ได้มองข้ามอาการร้ายแรงต่างๆ ไป และได้รับการรักษาที่เหมาะสม
การบำรุงดูแลระบบย่อยอาหารของคุณด้วยการฉลาดเลือกรับประทานอาหาร การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และการมีวิธีจัดการความเครียด จะส่งเสริมให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งร่างกายรู้สึกสุขสบายมากขึ้น จำไว้ว่าอาการเรื้อรังควรได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางและเมื่อนั้น ลำไส้จะบอกขอบคุณที่เราคอยเฝ้าดูแล
ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เรียบเรียงโดย ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 23 กันยายน 2568