ทำความเข้าใจกับเรื่องการเคลื่อนไหวของลำไส้
มาเรียนรู้กันว่าการเคลื่อนไหวของระบบย่อยอาหารคืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อสุขภาพของเรา และวิธีสังเกตอาการเริ่มต้นเมื่อการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารผิดปกติ มาค้นพบสาเหตุ สัญญาณ และปัจจัยด้านวิถีชีวิตที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ และเมื่อไหร่ควรไปให้แพทย์เฉพาะทางดูแล
การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารคืออะไร
การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร (GI motility) หมายถึงการบีบตัวเป็นจังหวะของกล้ามเนื้อที่บุอยู่ภายในระบบย่อยอาหาร การบีบตัวนี้จะผสมอาหารและขับอาหารจากหลอดอาหารไปยังลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ในลำไส้ที่แข็งแรง การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารจะประสานสัมพันธ์กันอย่างมีจังหวะเหมาะเจาะ ทำให้สารอาหารถูกดูดซึมและของเสียถูกขับออกอย่างราบรื่นเรียบร้อย
เมื่อจังหวะการเคลื่อนไหวนี้ถูกรบกวนติดขัด อาจทำให้เกิดภาวะทางเดินอาหารทำหน้าที่ผิดปกติโดยไร้โรคทางกาย (functional GI disorders) ได้ แพทย์จำแนกภาวะผิดปกติเหล่านี้ตามอาการที่เชื่อมโยงกับกลไกพื้นฐานต่างๆ ได้แก่ การบีบตัวของลำไส้ที่ผิดปกติ (ความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของลำไส้) การรับรู้ความรู้สึกเมื่อลำไส้เคลื่อนไหวไวขึ้น (ภาวะไวเกินของอวัยวะภายในช่องท้อง) การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่เยื่อบุลำไส้เปลี่ยนแปลง ไมโครไบโอต้าหรือชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนแปลง และการสื่อสารระหว่างสมองและลำไส้เปลี่ยนแปลงไป การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยอธิบายว่าทำไมบางคนจึงมีอาการทางเดินอาหารที่ทำให้ไม่สบายหรืออ่อนแอโดยไม่มีความผิดปกติทางร่างกายใดๆ
สัญญาณที่บ่งบอกว่าจังหวะการทำงานของลำไส้ผิดปกติ
ภาวะทางเดินอาหารทำหน้าที่ผิดปกติโดยไร้โรคทางกายสามารถส่งผลกระทบต่อทุกส่วนของระบบย่อยอาหาร ตั้งแต่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ไปจนถึงลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง อาการทั่วไป ได้แก่:
- ปวดท้องหรือท้องอืดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- รู้สึกแสบร้อนหรือรู้สึกไม่สบายบริเวณทรวงอก (มักเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ)
- กลืนลำบากหรือรู้สึกว่าอาหารติดคอ
- อาเจียน ไอเรื้อรัง หรือกระทั่งอาการคล้ายโรคหอบหืด
- ท้องอืด คลื่นไส้ หรือรู้สึกแน่นท้องอย่างมาก
- ท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกท้องเสียสลับกัน
เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจทับซ้อนกันได้ หลายคนจึงไม่สนใจนักหรือรักษาด้วยยาที่หาซื้อได้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม อาการที่เรื้อรังหรือแย่ลงอาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติทางการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารที่จำเป็นต้องได้รับการประเมินทางการแพทย์
ทำไมการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารจึงผิดปกติไป
แม้ว่าสาเหตุบางประการจะยังไม่ชัดเจน แต่การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตมีบทบาทสำคัญ ตารางเวลาที่เร่งรีบวุ่นวาย การงดอาหารบางมื้อ การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ การขาดน้ำและการขาดการออกกำลังกาย ล้วนแต่รบกวนจังหวะการทำงานตามธรรมชาติของลำไส้ ความเครียดและความวิตกกังวลอาจส่งผลต่อการเชื่อมโยงของลำไส้กับสมอง ทำให้ความไวต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้เพิ่มขึ้น
ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผล ได้แก่ การติดเชื้อ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ยา และความเสี่ยงทางพันธุกรรม แม้แต่ไมโครไบโอม ซึ่งหมายถึงแบคทีเรียนับล้านล้านตัวที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา ก็มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้โดยการผลิตสารที่มีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อและการทำงานของเส้นประสาท
การรักษาจังหวะการทำงานของลำไส้ให้แข็งแรง
การดูแลสนับสนุนให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรงไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก ขอให้ลองพิจารณาเคล็ดลับที่มีหลักฐานรองรับต่อไปนี้:
1. รับประทานอาหารทุกมื้อที่สมดุลสม่ำเสมอ – ระบบย่อยอาหารของเราจะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเป็นกิจวัตร พยายามอย่างดมื้อเช้าหรือเลื่อนมื้อกลางวันออกไป
2. เพิ่มปริมาณใยอาหาร – ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และพืชตระกูลถั่ว ช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหว ค่อยๆ เพิ่มใยอาหารเพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องเฟ้อหรือท้องอืด อย่างไรก็ตาม ใยอาหารมากเกินไปอาจทำให้ท้องอืดได้
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ – น้ำช่วยให้อุจจาระนิ่มลงและช่วยให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อราบรื่น
4. ขยับเขยื้อนร่างกาย – การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและบรรเทาความเครียด แม้แต่การเดินเร็วหลังอาหารก็สามารถช่วยได้
5. จัดการความเครียด – การฝึกสติ โยคะ หรือการหายใจเข้าลึกๆ สามารถช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและลดภาวะอวัยวะในช่องท้องไวเกินได้
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางให้ช่วยดูแล
หากเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแล้ว แต่อาการยังไม่บรรเทา จำเป็นที่จะต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ที่ศูนย์การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล แพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติทำงานร่วมกับศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ นักพยาธิวิทยา นักกำหนดอาหาร และนักบำบัด เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารที่ซับซ้อน ทีมงานใช้เครื่องมือวินิจฉัยและรักษาขั้นสูง เช่น การตรวจการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร (manometry) การทดสอบค่าความเป็นกรดในหลอดอาหาร 24 ชั่วโมง การตรวจลมหายใจ และการบำบัดด้วยการฝึกขับถ่าย เพื่อระบุสาเหตุของอาการและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ที่สำคัญที่สุด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยที่แม่นยำและการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายและฟื้นฟูได้เต็มที่ หากคุณประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการที่กล่าวมาข้างต้น ขออย่าเพิกเฉย ลำไส้ของคุณส่งสัญญาณอยู่ตลอดเวลา การฟังจังหวะของลำไส้จะช่วยให้คุณควบคุมสุขภาพของคุณได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. อะไรเป็นสาเหตุของความผิดปกติทางการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร
ภาวะทางเดินอาหารทำหน้าที่ผิดปกติโดยไร้โรคทางกาย (functional GI disorders) เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน รวมทั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ภาวะอวัยวะในช่องท้องไวเกินต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ตามปกติ การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันหรือการทำงานของเยื่อบุลำไส้ การเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียในลำไส้ และการสื่อสารระหว่างสมองและลำไส้ถูกรบกวน ปัจจัยด้านวิถีชีวิต เช่น ความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา และการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย สามารถทำให้จังหวะการทำงานของลำไส้ถูกรบกวนติดขัดได้ยิ่งขึ้นไปอีก
2. จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการของที่เป็นอยู่ร้ายแรงไหม
อาการปวดท้องเรื้อรัง แสบร้อนกลางอก กลืนลำบาก ไอเรื้อรัง อาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืดมาก หรือท้องผูกและท้องเสียสลับกัน อาจบ่งชี้ถึงปัญหาการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารที่เป็นต้นเหตุ หากยังมีอาการอยู่เกินสองสามสัปดาห์หรืออาการเหล่านั้นรบกวนชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์ระบบทางเดินอาหาร
3. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตสามารถรักษาโรคการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารผิดปกติได้ไหม
นิสัยที่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานอาหารเป็นมื้อสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง การดื่มน้ำให้เพียงพอ การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด สามารถช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีและบรรเทาอาการเล็กๆ น้อยๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้อาจไม่สามารถรักษาภาวะที่เป็นต้นตอได้หากมีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท ปัญหาเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับการประเมินทางการแพทย์
4. มีการตรวจอะไรบ้างในการวินิจฉัยโรคการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร
แพทย์เฉพาะทางใช้การตรวจที่ซับซ้อนเพื่อประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อและตรวจหาความผิดปกติ การตรวจทดสอบเหล่านี้รวมถึง manometry การตรวจการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารความละเอียดสูง (หลอดอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น ลำไส้ใหญ่ ตลอดจนลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและช่องทวารหนัก) การตรวจวัดกรดในหลอดอาหารตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อวัดกรดและของเหลวที่ไหลย้อนขึ้นมา และการตรวจลมหายใจเพื่อหาแบคทีเรียในลำไส้เล็กที่มากเกินไปหรือการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตผิดปกติ นอกจากนี้ อาจใช้การบำบัดด้วยการฝึกขับถ่ายเพื่อฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้ทำงานเสียใหม่สำหรับผู้ที่มีภาวะการบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการเบ่ง (anorectal dysfunction)
5. เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
หากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่สามารถทำให้อาการบรรเทาได้ หรือหากมีอาการปวดอย่างรุนแรง น้ำหนักลด กลืนลำบาก มีเลือดออก หรืออาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เรียบเรียงโดย ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 19 กันยายน 2568