bih.button.backtotop.text

ไขมันพอกตับ ภาวะแฝงที่นำไปสู่โรคร้ายแรง

ไขมันพอกตับ ภาวะแฝงที่นำไปสู่โรคร้ายแรง

ไขมันพอกตับเป็นภาวะที่พบได้บ่อย เกิดจากการมีไขมันสะสมในตับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการและไม่มีปัญหาทางสุขภาพที่รุนแรง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงพอที่จะบ่งบอกโรคและบางรายอาจทำให้ตับแข็งได้ นอกจากนี้ภาวะไขมันพอกตับยังทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น
 
 

ภาวะไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้อย่างไร

ตับทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่เก็บสะสมพลังงาน ตับที่มีสุขภาพดีจะมีไขมันสะสมอยู่เล็กน้อย แต่การกินอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันมากและตับไม่ได้นำไขมันไปใช้หรือย่อยสลายไขมันตามที่ควรจะเป็น จะทำให้เกิดไขมันสะสมในตับ

 

ภาวะไขมันพอกตับมีการดำเนินโรคอยู่กี่ระยะ

ประมาณ 7-30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับจะมีอาการแย่ลง ซึ่งอาการสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระยะดังนี้
  • ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ
  • ระยะที่สอง เป็นระยะที่มีอาการอักเสบ
  • ระยะที่สาม เป็นระยะที่มีการอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ
  • ระยะที่สี่ เป็นระยะที่เซลล์ตับถูกทำลายจนตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้ตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด
 

อาการของภาวะไขมันพอกตับมีอะไรบ้าง

 

ภาวะไขมันพอกตับมักไม่ทำให้เกิดอาการใดๆจนกว่าจะดำเนินไปจนกลายเป็นโรคตับแข็ง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการดังนี้
  • ปวดท้องหรือรู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา
  • คลื่นไส้ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด
  • มีน้ำคั่งบริเวณท้องและขา
  • ภาวะดีซ่านหรือภาวะตัวเหลืองตาเหลือง
  • รู้สึกเหนื่อย ไม่มีแรง
 

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะไขมันพอกตับ

 

  • เป็นโรคอ้วนลงพุง ประมาณร้อยละ 20 ของคนเป็นโรคอ้วนจะมีภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วย
  • น้ำหนักตัวมากเกิน (ดัชนีมวลกายหรือ BMI ≥ 25 ใน ASIA และ ≥35 ในเชื้อชาติอื่น)
  • เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง
  • เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว
  • มีภาวะขาดสารอาหาร
  • มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
 

วินิจฉัยได้อย่างไร

 

 

รักษาได้ด้วยวิธีใด

 

ภาวะไขมันพอกตับไม่มียารักษาโดยเฉพาะแต่แพทย์จะช่วยแนะนำวิธีการลดความเสี่ยงและจัดการกับปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น
  • ลดน้ำหนักหากน้ำหนักตัวเกิน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและแบบมีแรงต้าน
  • ควบคุมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงให้ดี
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ได้แก่ อาหารไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ 
  • ไม่รับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
  • ตรวจสุขภาพประจำปีหรือตามที่แพทย์แนะนำ


ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางในการให้คำปรึกษาและดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับแบบเฉพาะบุคคลพร้อมการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยืนยาว
 

เรียบเรียงโดย พญ. อรพิน ธนพันธุ์พาณิชย์
 


 
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

Related Health Blogs