เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ การผ่าตัดเปลี่ยนเพศสามารถทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนและมีผลข้างเคียง ในบางกรณีอาจ

• แผลผ่าตัดมีโอกาสแยกหรือไม่หายสนิท
• ช่องคลอดใหม่หลุดหรือลอก
• ช่องคลอดตีบหรือปากช่องคลอดหดแคบ
• ช่องคลอดตื้น
• ท่อปัสสาวะตีบ
• ช่องคลอดทะลุเข้าในช่องท้องหรือลําไส้ใหญ่
• การหลุดลอกของปุ่มคลิตอริส

• แจ้งให้แพทย์ทราบว่ารับประทานยาใดอยู่เป็นประจำ
• ในกรณีรับประทานยาฮอร์โมน ให้หยุดใช้ยาล่วงหน้า 2 สัปดาห์ หากเป็นยาฉีดให้หยุดยา 4 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
• งดน้ำและอาหาร อย่างน้อย  8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
• หยุดยาและสมุนไพรที่ทำให้เลือดออกง่าย ก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์
• งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัด 4-6 สัปดาห์
• กรณีที่ผลเอชไอวีเป็นบวก ควรควบคุม CD4 ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก่อนผ่าตัด

• หลังจากแพทย์นำผ้าก๊อซซับเลือดออกแล้ว ควรสอดเครื่องช่วยขยายช่องคลอดตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันช่องคลอดหดตัวและทำให้ช่องคลอดมีความลึกตามต้องการ
• ควรใส่ผ้าอนามัย เนื่องจากอาจยังมีอาการเลือดออกอยู่ในช่วง 1 อาทิตย์แรกหลังการผ่าตัด
• รับประทานฮอร์โมนเพศหญิงหลังผ่าตัดไปแล้ว 1 เดือน และจะต้องมีการปรับขนาดของฮอร์โมนหลังผ่าตัด จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางต่อมไร้ท่อ
• สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อแผลหายสนิทดีแล้ว  ประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังผ่าตัด
• ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 3-5 สัปดาห์ บาดแผลภายในจะเริ่มหายดีหลังการผ่าตัดประมาณ 6 เดือน

 
การผ่าตัดปรับเพศสภาพเป็นการผ่าตัดใหญ่และซับซ้อนที่ต้องใช้ทักษะ ความชำนาญการและประสบการณ์ของแพทย์เฉพาะทาง คลินิก Pride มีคณะแพทย์ผู้ชำนาญการในแต่ละสาขาอย่างครอบคลุม  ทำงานเป็นทีมร่วมกับสหสาขาวิชาชีพที่มีความรู้ ความสามารถในการให้บริบาลอย่างสอดคล้องกับความหลากหลายของผู้รับการบริบาล


รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
คลินิก Pride 
โทร 063-221-0957 หรือ 02-066-8888 และ 1378