เชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็น สาเหตุถึง 99% ของโรคมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง แต่นอกจากในเพศหญิงและมะเร็งปากมดลูกแล้ว เชื้อ HPV ยังสามารถสร้างปัญหาได้ในทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เช่น
ที่สำคัญคือ เมื่อเราติดเชื้อ HPV ในระยะแรก ๆ มัก ไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้เราไม่รู้ตัว และสามารถแพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีอาจจะพัฒนาไปเป็นมะเร็งแล้ว
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราติดเชื้อ HPV หรือไม่?
โชคดีที่ปัจจุบันสามารถตรวจคัดกรองเชื้อ HPV ได้
- เพศหญิง ตรวจคัดกรองเซลล์ที่บริเวณปากมดลูก
- เพศชาย สามารถตรวจคัดกรองที่บริเวณทวารหนัก
วัคซีน HPV: วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง อีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV คือ การฉีดวัคซีน HPV หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ควรฉีดวัคซีนเมื่อไหร่?
- แนะนำให้ฉีดตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
- หากฉีดในช่วงอายุ 9 – 14 ปี ต้องฉีดเพียง 2 เข็ม
- หากฉีดตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ถ้าเคยติดเชื้อ HPV มาแล้ว ยังฉีดวัคซีนได้หรือไม่?
คำตอบคือ ได้ค่ะ วัคซีน HPV จะช่วยป้องกันสายพันธุ์อื่น ๆ ที่คุณยังไม่เคยติด เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งในอนาคต
ความปลอดภัยของวัคซีน HPV
วัคซีน HPV มีความปลอดภัยสูงและผ่านการศึกษามากมายเพื่อยืนยันผล
- ถูกนำมาใช้มากว่า 20 ปี
- ฉีดแล้วกว่า 270 ล้านโดส ในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก
- ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) รวมถึงประเทศไทย
ผลข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่เป็นเพียงอาการเล็กน้อย เช่น เจ็บ ปวด บวม หรือมีรอยแดง บริเวณที่ฉีด สรุป การฉีดวัคซีน HPV ไม่ใช่เพียงการฉีดวัคซีนธรรมดา แต่เป็น การลงทุนเพื่อป้องกันมะเร็งในอนาคต ดังนั้น ทุกคนควร
- ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- ตรวจคัดกรองเชื้อ HPV และเข้ารับการฉีดวัคซีน HPV
เรียบเรียงโดย ผศ.พญ. ชนัญญา ตันติธรรม
สูตินรีแพทย์ ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 25 กันยายน 2568