รู้เท่าทันเบาหวาน ดูแลครบทุกมิติ เพื่อชีวิตวัยทำงานที่ยั่งยืน
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การใช้ชีวิตควบคู่ไปกับการทำงานเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน กุญแจสำคัญคือการให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองแบบองค์รวม เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการควบคุมเบาหวานและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้
ผู้ป่วยเบาหวานในวัยทำงานควรดูแลสุขภาพอย่างไร
โรคเบาหวานไม่ได้จำกัดการใช้ชีวิต แต่ช่วยให้ผู้ป่วยเลือกใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานในวัยทำงานควรคำนึงถึงการดูแลสุขภาพตนเองอย่างครอบคลุมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ดังนี้
1. การนอนหลับพักผ่อน
- นอนให้เพียงพอ ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้ 6- 8 ชั่วโมง ต่อวัน การนอนน้อย ส่งผลให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ไม่เต็มที่และทำให้ฮอร์โมนความเครียดหลั่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- ปรับสภาพแวดล้อมในการนอน ควรจัดห้องนอนให้มืดและเงียบที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานกะกลางคืนและต้องนอนกลางวัน แสงสว่างจะกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้ตื่นตัวได้ ในขณะที่ความมืดจะช่วยให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยในการนอนหลับ
- หลีกเลี่ยงโทรศัพท์มือถือ ควรงดใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ที่มีแสงจ้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอนเพราะแสงสว่างจะรบกวนการหลั่งของเมลาโทนิน
2. การรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารเป็นมื้อ ควรรับประทานอาหารให้เป็นเวลาและครบหมู่เพื่อป้องกันความหิวที่อาจนำไปสู่การเลือกกินอาหารว่างหรือขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกหิวและอยากกินอีก ส่งผลให้ควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี
- เลือกอาหารที่มีกากใยสูง เลือกรับประทานผักและอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อช่วยในการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตอย่างช้าๆและต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำตาลคงที่ ไม่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงของหวาน ของมันและขนมขบเคี้ยว
- กำหนดเวลาอาหารเย็น น้ำตาลในเลือดจะอยู่ในระดับปกติหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 4 ชั่วโมง ดังนั้น ควรพยายามกินอาหารเย็นให้เสร็จก่อนเวลา 5-6 โมงเย็น และเว้นระยะอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอนเพื่อให้ร่างกายมีเวลาเผาผลาญส่วนที่เหลือ ไม่ให้มีการสะสมจนเกิดความอ้วน
3. การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย
- เคลื่อนไหวร่างกายทุกชั่วโมง สำหรับงานที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆควรลุกขึ้นยืนหรือเดินไปรอบๆประมาณ 3 ถึง 5 นาทีทุกๆ 1 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายใช้พลังงานจากน้ำตาล
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกายได้รวม 150 นาทีต่อสัปดาห์โดยอาจแบ่งเป็น 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ การเดินเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แนะนำให้เดินอย่างน้อย 5,000 ก้าว ต่อวัน หรือประมาณ 3 กิโลเมตรและเพิ่มเป็น 10,000 ก้าวต่อวันหากต้องการลดน้ำหนัก
4. การจัดการกับความเครียด
- จัดระเบียบชีวิต เมื่อเกิดความเครียด ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ออกมามากเกินไป กระตุ้นให้ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อกระทบต่อการควบคุมเบาหวาน การบริหารจัดการงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดระเบียบชีวิตส่วนตัวอย่างเป็นระบบ จะช่วยลดความเครียดที่ไม่จำเป็นลงได้
- มีผู้รับฟังปัญหาและทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย การมีเพื่อนที่มีทัศนคติที่ดีและรับฟังกันเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อรู้สึกว่าความเครียดสะสม ควรหาเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายหรือพูดคุยกับเพื่อนเพื่อระบาย หากปัญหายังหนักหน่วง ควรพิจารณาขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
5. ความสม่ำเสมอในการรักษา
ติดตามการรักษาและใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ การติดตามการรักษาและการใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไข้เบาหวานมีคุณภาพชีวิตที่ดีและหลีกเลี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนได้นานที่สุด
ระมัดระวังการใช้อาหารเสริมและยาบางประเภท ควรระมัดระวังการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่ซื้อเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงและควบคุมเบาหวานได้ยาก หากมีข้อสงสัยหรือมีผลข้างเคียงใดๆจากการใช้ยา ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที
เบาหวานกับความเสี่ยงหัวใจล้มเหลว ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องตระหนัก
เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะสำคัญทั่วร่างกาย ทั้งตา ไต ปลายประสาท และที่สำคัญคือหัวใจ
สมองและหลอดเลือด การอักเสบเรื้อรังอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดเสื่อมและตีบแข็ง นำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
หัวใจเต้นผิดจังหวะและหัวใจวาย
สถิติความเสี่ยง ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ภาวะสมองขาดเลือด การเคลื่อนไหวผิดปกติ และความจำเสื่อม เพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าในผู้ชายและสูงถึง 5 เท่าในผู้หญิงเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เป็นเบาหวาน
NTproBNP ตัวคัดกรองสำคัญเพื่อป้องกันหัวใจล้มเหลว
NTproBNP เป็นฮอร์โมนโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจทั้งห้องบนและห้องล่าง หัวใจจะผลิตและหลั่งฮอร์โมน NTproBNP ออกมาในปริมาณ
เพิ่มขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจยืดตัวมากกว่าปกติจากสาเหตุต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ค่า NTproBNP จะสูงกว่าค่าปกติหลายเท่าก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการหัวใจล้มเหลว ปัจจุบัน องค์กรโรคเบาหวานของสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association) จึงได้ให้ความสำคัญกับการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับ NTproBNP ในผู้ป่วยเบาหวานทุกรายเพื่อป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การตรวจค่า NTproBNP ยังไม่มีแนวทางที่กำหนดช่วงอายุอย่างชัดเจน แต่แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอายุมากกว่า 70-75 ปีตรวจปีละครั้งเป็นอย่างน้อย สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีอายุ ระหว่าง 50 ถึง 55 ปีหรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมานานกว่า 10 ปีหรือผู้ที่มีพันธุกรรมโรคหัวใจในครอบครัวร่วมด้วย ควรตรวจเป็นค่าพื้นฐานอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อเป็นข้อมูลตั้งต้นและ
ประเมินความเสี่ยง
ศูนย์ต่อมไร้ท่อ เบาหวานและโภชนบำบัด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มี
ทีมงานที่มีความชำนาญในการดูแลรักษาโรคเบาหวานอย่างครอบคลุม
จากทีมแพทย์เฉพาะทางและสหสาขาวิชาชีพ
โดยเน้นการดูแลรักษาแบบป้องกันเชิงรุก ผ่านการใช้เครื่องมือตรวจคัดกรองที่ทันสมัย เช่น การตรวจ NTproBNP ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินและลดความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวในผู้ป่วยเบาหวานได้เป็นอย่างดี
เรียบเรียงโดย ผศ.นพ. วราภณ วงศ์ถาวราวัฒน์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2568