อาการปวดข้อเข่าและปวดสะโพกเล็กๆ น้อยๆที่คิดว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยหรือปวดกล้ามเนื้อจากการใช้งานหนักหรือปวดตามวัย อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากไม่รีบรักษา อาการอาจรุนแรงยิ่งขึ้น จนทำให้การเคลื่อนไหวเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
แยกความแตกต่างระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้อกับปวดข้อได้อย่างไร
วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการแยกความแตกต่างระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้อกับอาการปวดข้อคือการสังเกตตำแหน่งและลักษณะของการปวด โดยทั่วไปอาการปวดกล้ามเนื้อมักจะเป็นการปวดที่กระจายตัว เป็นความรู้สึกปวดเมื่อยล้าในกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนหรือกลุ่มกล้ามเนื้อ ในขณะที่อาการปวดข้อมักจะอยู่เฉพาะบริเวณรอบข้อ เป็นความรู้สึกปวดบริเวณข้อต่อ ซึ่งอาจมีอาการบวม ร้อน ร่วมได้
รู้ได้อย่างไรว่าอาการปวดเป็นสัญญาณของข้อเสื่อมเข่าและข้อสะโพกเสื่อม
อาการของข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมมักจะค่อยเป็นค่อยไป อาจมีอาการขึ้นมาอย่างฉับพลันได้หายมีการใช้งานหนักมากขึ้นกว่าปกติ สัญญาณที่พบบ่อยของข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมมีดังนี้
- อาการปวด ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมในระยะแรกๆ จะมีอาการปวดข้อขณะทำกิจกรรม เช่น เดิน ขึ้นลงบันไดหรือนั่งยองๆ และอาการดีขึ้นเมื่อได้พัก แต่จะกลับมาปวดอีกเมื่อเริ่มใช้งาน หากปล่อยทิ้งไว้ อาการปวดจะรุนแรงขึ้นและอาจปวดแม้ในขณะพัก ผู้ป่วยโรคข้อสะโพกเสื่อมมักมีอาการปวดบริเวณขาหนีบหรือบั้นท้ายและบางครั้งอาจลามไปถึงด้านในของหัวเข่าหรือต้นขา
- อาการข้อต่อฝืด ติดขัด ขยับข้อได้ไม่สุด มักเกิดขึ้นในช่วงเช้าหรือหลังจากพักผ่อน ทำให้ขยับข้อเข่าหรือข้อสะโพกลำบาก ต้องใช้เวลาสักครู่จึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ หรือขยับข้อเข่าได้ไม่สะดวก เจ็บทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
- มีเสียงดังในข้อ มีเสียงเสียดสีดัง “กร๊อบแกร๊บ” ในข้อขณะขยับข้อเข่าหรือข้อสะโพกเวลาเดินหรือเคลื่อนไหว
- อาการบวม มีอาการบวมของข้อต่อและรู้สึก อุ่น ร้อนเมื่อสัมผัสบริเวณรอบข้อต่อจากการอักเสบ กดแล้วเจ็บ
- ข้อต่อไม่มั่นคงขณะเคลื่อนไหว อาจรู้สึกข้อเข่าหรือข้อสะโพกสั่นคลอนเหมือนจะทรุดหรืออ่อนแรง
- ข้อต่อผิดรูป หรือข้อเข่าโก่ง ในระยะที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ข้อต่ออาจผิดรูปไป เช่น ข้อเข่าโก่ง (bow legs) ข้อเข่าฉิ่ง (knock knee) หรือขาข้างที่มีสะโพกเสื่อมอาจสั้นกว่าขาข้างปกติ ส่งผลต่อการทรงตัวและการเดิน เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มได้ง่ายขึ้น
- เดินลงน้ำหนักลำบาก มีอาการปวดร้าวลงต้นขาหรือเข่าลงน้ำหนักลำบาก หรือเดินเป๋ ไปด้านที่มีปัญหา อาจรู้สึกขาสั้นลง หรือเดินได้ไม่ไกล
กลุ่มเสี่ยงที่มักพบเป็นข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อม
- อายุ 50 ปีขึ้นไป
- กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง
- น้ำหนักตัวมาก
- ชอบนั่งพับเพียบ นั่งยอง หรืองอเข่านาน ๆ
- ใช้งานข้อเข่าหนัก เช่น ยืน เดินนาน หรือเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อข้อเข่า เช่น วิ่งมาราธอน เทนนิส ฟุตบอล บาสเกตบอล
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
หากมีอาการปวดข้อเข่าหรือข้อสะโพกเรื้อรัง ไม่ดีขึ้นแม้พัก หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยดังที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ข้อฝืด บวม มีเสียงดังในข้อ หรือข้อต่อผิดรูป ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม การตรวจพบและรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยชะลอความเสื่อม ลดความรุนแรงของอาการ และรักษาคุณภาพชีวิตไว้ได้
ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ประกอบด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูงในสาขาที่เกี่ยวข้องและทีมสหวิชาชีพที่ชำนาญในการดูแลผู้ป่วยโรคข้อ พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อการตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำและการวางแผนการรักษาที่ครอบคลุม ตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การทำกายภาพบำบัด การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ปราศจากความเจ็บปวดอีกครั้ง
เรียบเรียงโดย : นพ. ภาคภูมิ สมรักษ์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 06 สิงหาคม 2568