อาการปวดเข่าในวัยรุ่น ไม่ได้เป็นเพียงอาการปวดชั่วครั้งชั่วคราว แล้วจะหายไปได้เองเสมอไป แต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา การใช้งานมากเกินไป ไปจนถึงโรคบางชนิด หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและขีดจำกัดในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยได้
สาเหตุทั่วไปของการปวดเข่าในวัยรุ่นมีอะไรบ้าง
- บาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรือการใช้งานข้อเข่ามากเกินไป เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยจากการทำกิจกรรมที่สร้างแรงกดซ้ำๆ ให้กับข้อเข่าหรือจากการเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อเข่า ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของเอ็นและเส้นเอ็นของเข่าหรือตัวกระดูกสะบ้า เช่น ภาวะเอ็นสะบ้าอักเสบ (Patellar tendinitis หรือ Jumpers’ Knee) ภาวะเอ็น IT band อักเสบหรืออาการปวดเข่าด้านหน้า (Runner’s Knee) อาการเคล็ดขัดยอกและการฉีกขาดของเอ็น (Sprain and Ligament Tears) รวมถึงถุงน้ำไขข้ออักเสบ (Bursitis)
- ภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต พบได้ในวัยรุ่นที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบ (Osgood-Schlatter disease)
- ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ เกิดจากกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าอ่อนแอ ทำให้ลูกสะบ้าเคลื่อนที่ผิดปกติ บางคนมีเข่าแอ่นร่วมด้วย มักเกิดกับเพศหญิง
- โรคอื่นๆ ที่ส่งผลต่อข้อเข่า เช่น โรคข้ออักเสบในเด็ก (Juvenile Arthritis) โรคกระดูกตายจากการขาดเลือด (Osteochondritis Dissecans) เนื้องอกของกระดูก (Bone Tumor) และกระดูกหัก (Fracture)
- ภาวะติดเชื้อ เช่น ข้ออักเสบจากการติดเชื้อ (Septic Arthritis) และภาวะกระดูกอักเสบติดเชื้อ (Osteomyelitis)
สัญญาณเตือนการปวดเข่าในวัยรุ่นที่ไม่ควรมองข้าม
อาการปวดเข่าส่วนใหญ่สามารถดูแลเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้านได้ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบมาพบแพทย์
- อาการปวดรุนแรงขึ้นหรือไม่ดีขึ้น หลังจากดูแลเบื้องต้นที่บ้านนานกว่า 2 สัปดาห์
- ไม่สามารถงอเข่าหรือเหยียบเข่าได้สุด ไม่สามารถเดินหรือยืน หรือไม่สามารถลงน้ำหนักขาข้างที่ปวดได้
- รู้สึกข้อเข่าไม่มั่นคง
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ บวม แดง ร้อนบริเวณหัวเข่า มีอาการปวดมากเวลากลางคืน
- สีของขาและเท้าเปลี่ยนไป
- เข่ามีลักษณะผิดรูป
เมื่อมีอาการปวดเข่า จะดูแลตัวเองเบื้องต้นได้อย่างไร
- การพักผ่อน หยุดออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำกระตุ้นให้เกิดอาการปวดเข่าชั่วคราว
- การประคบเย็น ช่วยบรรเทาอาการอักเสบและอาการบวม ไม่ควรประคบเกิน 20 นาทีต่อครั้ง
- การใช้ผ้ารัดเข่า เพื่อลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นและช่วยลดแรงกระแทกบริเวณข้อเข่า ควรเลือกใช้ผ้ารัดเข่าชนิดที่เหมาะสมกับอาการปวดและกิจกรรมที่ทำ
- การใช้ยา ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
- การปรับเปลี่ยนกิจกรรม เลือกกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยานแทนกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูงระหว่างมีอาการ
วิธีป้องกันอาการปวดเข่าและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่า
- การวอร์มอัพและคูลดาวน์ที่เหมาะสม ก่อนและหลังการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring) รวมถึงการยืดเหยียดกล้ามเนื้อต้นขาและน่อง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยพยุงข้อเข่าและลดความเจ็บปวดได้
- การสวมรองเท้าและอุปกรณ์ที่เหมาะสม เลือกสวมรองเท้าที่รองรับแรงกระแทกได้ดีและสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็นในการเล่นกีฬา
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ช่วยลดแรงกดที่ข้อเข่าซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดเข่าและข้อเข่าเสื่อมได้
การจัดการกับอาการปวดเข่าในวัยรุ่นเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอาศัยการดูแลรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และป้องกันปัญหาในระยะยาว ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญด้านกระดูกและข้อ รวมถึงทีมสหสาขาวิชาชีพที่เข้าใจถึงความแตกต่างทางสรีรวิทยาและความต้องการของวัยรุ่น จึงสามารถออกแบบการดูแลรักษาแบบเฉพาะบุคคลอย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และกลับไปทำกิจกรรมที่รักได้อย่างมั่นใจ
เรียบเรียงโดย : นพ. ภาคภูมิ สมรักษ์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 07 สิงหาคม 2568