มะเร็งเต้านม โรคร้ายที่เกิดจากเซลล์ในเนื้อเยื่อเต้านมเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและผิดปกติอย่างควบคุมไม่ได้ เกิดได้ทั้งในเนื้อเยื่อต่อมน้ำนม (Ductal Carcinoma) หรือเนื้อเยื่อถุงน้ำนม (Lobular Carcinoma) แนวทางการรักษาโรคมะเร็งเต้านมมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาด ชนิดของเซลล์มะเร็งและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งอาจรวมถึงการผ่าตัด การฉายรังสี เคมีบำบัดและฮอร์โมนบำบัดหรือการรักษาแบบจำเพาะเจาะจงเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy)

แม้ว่าการรักษาแต่ละวิธีจะมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง แต่ก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด ปัญหาข้อต่อบริเวณที่ได้รับการฉายรังสีติดหรือตึงหรือแม้แต่ข้อจำกัดอื่น ๆ ในการทำกิจวัตรประจำวัน หากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเต้านมร่วมด้วย มักเกิดปัญหาไหล่ติด แขนบวม ปวดตึงกล้ามเนื้อหรือมีความลำบากในการใช้แขนข้างที่ผ่าตัด

โปรแกรมการรักษาทางกายภาพบำบัด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม  ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของนักกายภาพบำบัด โดยกำหนดแนวทางการรักษาอย่างสอดคล้องกับแผนการรักษาของแพทย์อย่างชัดเจน เพื่อรักษาและฟื้นฟูสมรรถนะทางร่างกายของผู้ป่วยให้กลับไปใช้ชีวิตตามระดับความสามารถของผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด 
 

1. โปรแกรมกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่อยู่ระหว่างการฉายแสงและ/หรือได้รับยาเคมีบำบัด 

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่กำลังอยู่ระหว่างการฉายแสงและ/หรือรับยาเคมีบำบัด โปรแกรมกายภาพบำบัดจะช่วยดูแลสมรรถนะร่างกายให้พร้อมในการรักษา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ร่างกายรับมือกับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยลดอาการที่เกิดขึ้นจากผลข้างเคียงของการรักษา โดยเน้นการกระตุ้นให้มีการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้แข็งแรง หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวด นักกายภาพบำบัดจะดูแลและบรรเทาอาการด้วยเทคนิคและเครื่องมือทางกายภาพที่เหมาะสม

ผู้ป่วยทุกคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจะได้รับการประเมินสมรรถภาพในการทำกิจวัตรประจำวันด้วย ECOG (Eastern Cooperative Oncology Group) เพื่อให้เข้าใจสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยอย่างชัดเจน นำไปสู่การวางแผนการออกกำลังกาย
ที่เหมาะสมและปลอดภัยกับระดับสมรรถภาพของผู้ป่วย รวมถึงการประเมินอัตราการเต้นหัวใจสำรอง หรือ Heart Rate Reserve (HRR) ซึ่งเป็นผลต่างของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดและอัตราการเต้นหัวใจขณะพัก ทำให้เข้าใจสภาวะร่างกายของ
ผู้ป่วยในขณะนั้นและสามารถปรับการออกกำลังกาย (Target Heart Rate) ได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยกับผู้ป่วยมากขึ้น