bih.button.backtotop.text

การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ

การปลูกถ่ายตับ เป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคตับวายระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น เป็นการรักษาเพื่อช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการใช้งานของร่างกาย ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต และทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น โดยศัลยแพทย์จะทำการตัดตับเก่าออกทั้งหมดแล้วนำตับใหม่ใส่ลงไปในที่เดิม

แหล่งที่มาของตับบริจาค ประกอบด้วย
  • การปลูกถ่ายตับจากผู้บริจาคสมองตาย (Deceased Donor Liver Transplant) คือ การปลูกถ่ายตับที่ได้ตับจากผู้บริจาคที่ลงทะเบียนกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ซึ่งผู้บริจาคตับดังกล่าวได้รับการวินิจฉัยจากคณะแพทย์ว่าผู้บริจาคมี “ภาวะสมองตาย”
  • การปลูกถ่ายตับจากผู้บริจาคมีชีวิต (Living Donor Liver Transplant) คือ การปลูกถ่ายตับโดยการผ่าแบ่งตับบางส่วนจากผู้บริจาคที่มีชีวิตเพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้รับบริจาค โดยตับของผู้บริจาคจะงอกกลับมาเกือบปกติในระยะเวลา 2 เดือน ผู้ที่เป็นผู้บริจาค ได้แก่ ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เช่น บิดา มารดา บุตร พี่น้อง หรือผู้ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เช่น คู่สมรส เป็นต้น
เพื่อรักษาโรคตับระยะสุดท้าย โดยผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 

ภายหลังการปลูกถ่ายตับ ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตได้เหมือนคนปกติ ออกกำลังกายและเล่นกีฬาได้ มีสมรรถภาพทางเพศปกติ ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้ การผ่าตัดปลูกถ่ายตับจึงทำให้ผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้ายมีชีวิตยืนยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตเท่ากับประชากรทั่วไป อย่างไรก็ตามผู้ป่วยต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ทำให้มีโอกาสติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติ หรือเกิดภาวะร่างกายปฏิเสธตับใหม่ขึ้นได้แม้ว่าจะได้ยากดภูมิคุ้มกัน จึงต้องได้รับการดูแลจากแพทย์และมีการตรวจการทำงานของตับ (liver function test) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงควรรับประทานยากดภูมิคุ้มกันในขนาดและปริมาณพอเหมาะตามที่แพทย์แนะนำที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะร่างกายปฏิเสธตับใหม่ ขณะเดียวกันก็ไม่เกิดผลข้างเคียงจากยาหรือทำให้ร่างกายมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น

ถึงแม้ว่าหลังการปลูกถ่ายตับสำเร็จ ผู้ป่วยจะมีสุขภาพดีขึ้น มีชีวิตใกล้เคียงคนปกติ สามารถดูแลตนเองได้ มีสุขภาพจิตดีขึ้น และมีสมรรถภาพทางเพศดีขึ้นใกล้เคียงปกติ แต่ทว่ายังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้

ด้านร่างกาย
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาระงับความรู้สึก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ
  • ภาวะเลือดออกมาก อาจทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำและจำเป็นต้องได้รับเลือด
  • ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตสูง
  • อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับอวัยวะอื่นภายในช่องท้อง มีการสะสมของของเหลว การเกิดพังผืดภายในช่องท้อง
  • ปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องอืด คลื่นไส้ เป็นต้น
  • ความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดหรือมีอาการไม่สุขสบายที่บริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่อาการปวดเรื้อรัง
  • ตับใหม่ล้มเหลว (Graft Failure)
โดยปกติหลังการปลูกถ่ายตับ ตับใหม่ควรเริ่มทำงานได้ทันที แต่ผู้ป่วยบางรายอาจประสบกับภาวะตับใหม่ไม่ทำงาน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดมาจากการขาดเลือดไปเลี้ยง อาจเกิดในทันทีหรือค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการตัวตาเหลือง มีน้ำในช่องท้อง ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง แพทย์อาจให้ยาเพื่อประคับประคองอาการ แต่สุดท้ายผู้ป่วยจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกถ่ายตับใหม่
  • ร่างกายปฏิเสธตับใหม่ (Liver Rejection)
โดยปกติแพทย์จะมีคำสั่งให้ยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันภาวะที่ร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ได้รับทั้งก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัด และให้อย่างต่อเนื่องโดยมีการตรวจดูระดับยาอย่างสม่ำเสมอ จึงพบภาวะตับไม่ทำงานทันทีที่ใส่เข้าไปในร่างกายได้น้อย ดังนั้นในระยะหลังผ่าตัดปลูกถ่ายตับผู้ป่วยควรรับประทานยากดภูมิคุ้มกันของร่างกายตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการปฏิเสธตับอย่างเฉียบพลัน นอกจากนี้ ภาวะปฏิเสธตับอย่างเรื้อรังเป็นการเสื่อมสภาพของตับอย่างช้าๆ มีสาเหตุจากหลายปัจจัย และในปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้โดยเด็ดขาด แต่สามารถลดความเสี่ยงนี้ได้โดยการควบคุมโรคที่อาจเกิดร่วมด้วยให้ดี ผู้ป่วยต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง
  • การติดเชื้อ
หลังการปลูกถ่ายตับและได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มีไข้ ปอดอักเสบ แผลติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อฉวยโอกาส เช่น ไซโตเมกะโลไวรัส ไวรัสเฮอร์พีส์ ไวรัสเอ็บสไตบาร์ เชื้อรา เชื้อพยาธิ และวัณโรค เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานยาต้านจุลชีพเพื่อป้องกันเชื้อฉวยโอกาสเหล่านี้ในระยะแรกหลังการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา
  • การรั่วไหลของน้ำดี เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด สามารถพบได้ร้อยละ 5-15 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งเมื่อเกิดภาวะถุงน้ำดีรั่วสามารถบรรเทาได้โดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดแก้ไข และสามารถรักษาโดยการส่องกล้องใส่ท่อพลาสติกเพื่อลดความดันโดยการระบายน้ำดีออกจากบริเวณนั้น หรือใส่ท่อแบบนิ่มเพื่อระบายน้ำดีสู่จุดอื่นเพื่อให้แผลสมานตัว
  • อาการท่อนำน้ำดีตีบตัน เกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดแต่พบได้น้อย สามารถรักษาได้โดยการส่องกล้องเพื่อใส่ขดลวดขยายท่อนำน้ำดีส่วนที่ตีบตันได้
  • เหตุแทรกซ้อนอื่นๆ พบภายหลังการได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับเป็นเวลานาน ซึ่งมักเกิดจากการบริหารยากดภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง เป็นต้น
 
ด้านจิตใจ
คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่เคยต้องทนทุกข์จากโรคตับเรื้อรังระยะสุดท้ายจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้รับการปลูกถ่ายตับแล้ว แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีความวิตกกังวลเนื่องจากจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างเคร่งครัด เพราะหากไม่ปฏิบัติตนเรื่องการใช้ยาจะมีโอกาสทำให้เกิดการสูญเสียตับที่ได้รับมา ซึ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเครียดได้
 
  • ผู้ป่วยชาวต่างชาติควรอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
  • หากท่านมีแผนการเดินทางหลังทำหัตถการ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนทำการจองการเดินทาง
  • ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกาย ดูแลแผลผ่าตัดในวันนัดและได้รับเอกสารสรุปประวัติการรักษา เอกสาร Fit to Fly (ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้)
  • อัตราการประสบความสำเร็จของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นั้นสูงเทียบเท่ากับที่สหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปตะวันตก จากสถิติผู้ป่วยปลูกถ่ายตับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์พบว่า มีอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยหลังการปลูกถ่ายตับใน 1 ปี คือ 97 เปอร์เซ็นต์ รอดชีวิต 5 ปี คือ 82 เปอร์เซ็นต์ และรอดชีวิต 10 ปี คือ 67 เปอร์เซ็นต์
  • อัตราความสำเร็จและการรอดชีวิตของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่
  • อายุ สุขภาพร่างกายและโรคดั้งเดิมของผู้บริจาคและผู้รับตับ
  • ความสมบูรณ์ของตับของผู้บริจาค
  • ภาวะการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านกับตับบริจาค
  • ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ภายหลังการผ่าตัด
  • ผลข้างเคียงจากยาที่ใช้
  • การปฏิบัติตัวของผู้รับตับ
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับเป็นการรักษาที่ดีที่สุด มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ชีวิตยืนยาวและเพิ่มคุณภาพชีวิต ในประเทศไทยเองมีการทำการปลูกถ่ายตับมากขึ้นเรื่อยๆ และแนวโน้มได้ผลดีเทียบเท่าต่างประเทศ ซึ่งหากผู้ป่วยยังไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับ การรักษาอื่นๆ เป็นเพียงการรักษาเพื่อหยุดหรือชะลอการทำลายของเนื้อเยื่อตับเท่านั้น ได้แก่
  • การเลิกหรือหลีกเลี่ยงสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้ เช่น เลิกดื่มสุรา ไม่ซื้อยารับประทานเอง
  • รักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาขับน้ำเมื่อมีอาการบวม
  • การรักษาผลข้างเคียงต่างๆ จากโรคตับวาย เมื่อตับทำงานได้ต่ำมาก
ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายอยู่ภายในช่องท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา และบางส่วนทอดใต้ลิ้นปี่เลยไปจนถึงใต้ชายโครงซ้าย ซึ่งตับมีหน้าที่สําคัญหลายประการที่ไม่สามารถหาอวัยวะอื่นมาทํางานทดแทนได้ ผู้ป่วยโรคตับไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากโรคไวรัสตับอักเสบ โรคตับอักเสบจากภาวะที่มีไขมันสะสมในตับ มะเร็งตับ หรือโรคตับแข็ง เมื่อโรคตับมีการดำเนินของโรคในระยะสุดท้าย หากไม่รักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ ผู้ป่วยจะมีอายุขัยที่สั้นลง

Related conditions

Doctors Related

Related Centers

ศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ

ดูเพิ่มเติม

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

คะแนนโหวต 10.00 of 10, จากจำนวนคนโหวต 1 คน

Related Health Blogs