การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) สำคัญอย่างไร
การตรวจแมมโมแกรม
ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ผล
การตรวจแมมโมแกรมสามารถบอกได้หลายอย่างเกี่ยวกับสุขภาพเต้านมของเรา ซึ่งวันนี้คุณหมอจะมาอธิบายรายละเอียดให้ฟังค่ะ คุณหมออธิบายว่า ปัจจุบันการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม แนะนำให้เริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป โดยใช้การตรวจอัลตราซาวด์ควบคู่กับแมมโมแกรม เนื่องจากอัลตราซาวด์มีประโยชน์ในการตรวจหาก้อนหรือถุงน้ำ ส่วนแมมโมแกรมมีประโยชน์ในการตรวจหาจุดหินปูน ซึ่งมักพบร่วมกับการเกิดมะเร็งเต้านม
ระดับความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม
เมื่อทำการตรวจ หากพบความผิดปกติ เช่น ก้อน ซีสต์ หรือจุดหินปูน คุณหมอจะแบ่งระดับความเสี่ยงออกเป็น สกอร์ 0–6 ได้แก่:
- สกอร์ 0 : ตรวจแล้วไม่สามารถแปรผลได้ (พบได้น้อย)
- สกอร์ 1 : ปกติ ไม่พบก้อน ซีสต์ หรือจุดหินปูนใดๆ
- สกอร์ 2–3 : ความผิดปกติที่เป็นชนิดปกติ ไม่จำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อหรือผ่าตัด แต่ควรติดตาม (Follow-up) เช่น สกอร์ 2 : แนะนำตรวจติดตามทุก 1 ปี สกอร์ 3 : แนะนำตรวจติดตามทุก 6 เดือน ต่อเนื่องประมาณ 2 ปี หากปกติจึงปรับเป็นตรวจปีละครั้ง
- สกอร์ 4 : มีความเสี่ยงสูงขึ้น และแบ่งย่อยเป็น
- 4a : เสี่ยงประมาณ 10–15%
- 4b : เสี่ยงประมาณ 50%
- 4c : เสี่ยงประมาณ 70%
- สกอร์ 5 : เสี่ยงสูงมาก (ประมาณ 95%) มักแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อเพื่อตรวจยืนยัน
- สกอร์ 6 : ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแล้ว และมาตรวจแมมโมแกรมซ้ำ
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งเต้านม
คุณหมอเน้นว่า สิ่งสำคัญคือการ ตรวจสุขภาพเต้านมเป็นประจำเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป โดยตรวจอัลตราซาวด์และแมมโมแกรมอย่างน้อยปีละครั้ง บางคนกังวลเรื่องการเอ็กซ์เรย์บ่อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง แต่ข้อมูลยืนยันว่าการทำแมมโมแกรมปีละครั้งหรือทุก 6 เดือนนั้นปลอดภัยมาก เนื่องจากรังสีที่ได้รับมีปริมาณน้อยมาก
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและตรวจพบ
มะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก็คือการตรวจคัดกรองด้วยอัลตราซาวด์และแมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอ
เรียบเรียงโดย นพ. ธีรภพ ไวประดับ
แพทย์ชำนาญการด้านศัลยศาสตร์เต้านม
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 08 กันยายน 2568