bih.button.backtotop.text

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส… หนทางที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ไม่ควรรีรอ!

05 มกราคม 2566
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส (Chickenpox หรือ Varicella) เป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายได้ง่าย มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella-zoster virus, VZV) โดยเชื้อไวรัสนี้จะทำให้เกิดผื่นตุ่มน้ำใส และคัน ซึ่งมักจะเริ่มจากบริเวณหน้าอก หลัง และใบหน้าก่อน จากนั้นจึงลามไปบริเวณอื่นๆ ทั่วร่างกาย ทั้งนี้ อาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และปวดศีรษะ เป็นอาการที่พบร่วมได้บ่อยของผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส ได้แก่ การติดเชื้อที่ผิวหนัง ปอดอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ สมองอักเสบ รวมถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด กระดูก และข้อ นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนอาจป่วยเป็นโรคงูสวัด (Shingles หรือ Herpes zoster) ในอนาคตได้

ทารกแรกเกิด วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการรุนแรงหากป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่างๆ อีกด้วย

เนื่องจากในตุ่มน้ำใสของผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสจะมีเชื้อไวรัสวาริเซลลาปนเปื้อนอยู่ การติดต่อของโรคอีสุกอีใสโดยทั่วไปจึงเป็นการติดต่อผ่านทางการสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำใสเข้าไป หรือสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำใส หรือสัมผัสถูกของใช้ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสได้สูงถึง 90% ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสจึงเป็นสิ่งที่แนะนำสำหรับบุคคลทุกคน โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสครบ 2 เข็ม มักจะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต

 
ทำความรู้จักกับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ เตรียมจากเชื้อไวรัสวาริเซลลาที่ถูกทำให้อ่อนแรงลง การได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเกิดโรคและช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วยังอาจมีโอกาสป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส แต่อาการที่เกิดมักไม่รุนแรง และหายป่วยเร็วกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน

 
ใครควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ?
บุคคลทุกคนที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน และยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
  • เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 13 ปี ควรได้รับวัคซีนจำนวน 2 เข็ม
    • เข็มแรก: ช่วงอายุ 12 ถึง 15 เดือน
    • เข็มที่สอง: ช่วงอายุ 18 เดือน ถึง 4 ปี
  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ควรได้รับวัคซีนจำนวน 2 เข็ม โดยห่างกันอย่างน้อย 28 วัน
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสนั้นสามารถฉีดได้ในทุกช่วงเวลาของปี อีกทั้งยังฉีดพร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ด้วย นอกจากนี้ เด็กที่มีอายุระหว่าง 12 เดือน ถึง 12 ปี อาจรับเป็นวัคซีนรวมเพียง 1 เข็ม ที่เรียกว่าวัคซีน MMRV ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส รวมกับวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (Measles, mumps, and rubella vaccine หรือ วัคซีน MMR)

 
ใครไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ?
  • หญิงตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ภายใน 3 เดือนข้างหน้า
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยวัณโรคที่อยู่ในระยะแสดงอาการ (active TB) ที่ไม่ได้รับการรักษา หรือผู้ป่วยที่กำลังมีไข้อยู่
  • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือด หรือได้รับผลิตภัณฑ์จากเลือดอื่นๆ เมื่อไม่นานมานี้
 
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
  • อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่
    • ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดวัคซีน
    • มีไข้ (เกิดขึ้นภายใน 5-12 วัน หลังการได้รับวัคซีน)
  • อาการข้างเคียงรุนแรง ได้แก่
    • ปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน หรือ Anaphylaxis (พบน้อย)
 
หากท่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ข้อมูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตลอด 24 ชั่วโมง




 
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

Related Health Blogs