bih.button.backtotop.text

ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร

Layout-Digestive-Disease_1-TH.png Layout-Digestive-Disease_2-TH.png Layout-Digestive-Disease_3-TH.png Layout-Digestive-Disease_4-TH-(1).png


ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จัดตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการดูแลรักษาโรคการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารที่มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีจากปัจจัยต่างๆ เช่น การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุและโรคกรดไหลย้อนที่เพิ่มมากขึ้น จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของประชากรไทยและทั่วโลก โดยผนึกกำลังกับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกในการให้บริการปรึกษา ตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคการทำงานที่ผิดปกติของระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ส่วนบนจนถึงส่วนล่างแบบองค์รวม โดยเฉพาะโรคที่ยากและซับซ้อน โดยมุ่งเน้นในการตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำ ถูกต้องและพบโรคแต่เนิ่นๆก่อนที่จะมีอาการรุนแรงหรือในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากแล้ว เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด หรือทำให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
 
ทีมแพทย์ของเรา
ทีมของเราประกอบด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์อย่างใกล้ชิด โดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงและการทดสอบที่ละเอียดเพื่อการวินิจฉัยและการรักษา ทีมแพทย์ของศูนย์เป็นนักวิจัยที่ทำการศึกษาวิจัยเพื่อเข้าใจลักษณะของโรคอย่างต่อเนื่องและมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับนานาชาติ สามารถเข้าใจโรคได้อย่างลึกซึ้งทำให้สามารถวินิจฉัย รักษาโรคได้แม่นยำขึ้น รวมถึงสามารถประยุกต์ความก้าวหน้าทางวิชาการล่าสุดมาประกอบการรักษาเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนไข้ของศูนย์
 
ทีมแพทย์ของเรา

โรคการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารเกี่ยวข้องตั้งแต่หลอดอาหารไปจนถึงทวารหนัก ได้แก่

  • อาการกลืนลำบาก
  • โรคกรดไหลย้อน ผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการ ทางด้านของ โรคหู คอ จมูก เช่น แสบคอ เจ็บคอเรื้อรัง มีเสมหะเรื้อรัง จุกแน่นคอเรื้อรัง หรืออาการทางโรคปอด เช่น ไอเรื้อรัง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายโรคหัวใจ เช่น อาการเจ็บหน้าอกที่หาสาเหตุไม่พบ
  • ภาวะการขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง กลั้นอุจจาระไม่ได้ โดยภาวะท้องผูกเรื้อรังเป็นภาวะที่พบบ่อยในประชาชนทั่วไป และจะมีผู้ที่ท้องผูกจำนวนหนึ่งที่มีอาการรบกวนมากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยแพทย์ทั่วไป ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถรักษาให้หายขาดหรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ ถ้าได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม เช่น ถ้าตรวจการทำงานของทวารหนักและหูรูดทวารหนัก (anorectal manometry) แล้วพบว่าเกิดจากภาวะเบ่งไม่เป็น (anorectal dyssynergia) การฝึกเบ่ง (biofeedback therapy) โดยทีมผู้เชี่ยวชาญสามารถทำให้อาการท้องผูกหายขาดได้ถึงร้อยละ 60 ส่วนในกลุ่มที่ไม่หายขาดก็ทำให้อาการดีขึ้นสามารถลดยาระบายได้
  • ภาวะท้องอืดแน่นท้องเรื้อรัง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานของทางเดินอาหารผิดปกติ การส่องกล้องตรวจไม่สามารถพบความผิดปกติได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีสาหตุที่สามารถรักษาให้หายขาดหรือบรรเทาอาการจนไม่รบกวนคนไข้ได้ ถ้าได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม
เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ผิดปกติของระบบทางเดินอาหารจึงต้องอาศัยความชำนาญการตรวจพิเศษและประสบการณ์ที่สูงของแพทย์ การบริการของเราจึงครอบคลุมปัญหาทั้งหมดของระบบทางเดินอาหารดังนี้
 

โรคการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารคืออะไร


ความผิดปกติของการทำงานของระบบทางเดินอาหารส่วนบน
ความผิดปกติของหลอดอาหาร

  • โรคอะคาเลเซีย (Achalasia cardia) เป็นความผิดปกติของการกลืนอาหารที่มีสาเหตุมาจากการสูญเสียการทำงานของหลอดอาหารและหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง
  • ภาวะกลืนลำบากหรือหรือภาวะความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร (Dysphagia and esophageal motility disorder)
  • อาการกรดไหลย้อน (GERD) ได้แก่ เรอเปรี้ยว แสบร้อนหน้าอก และอาการในระบบอื่นที่อาจเกิดจากกรดไหลย้อน (atypical GERD) เช่น อาการไอเรื้อรัง เจ็บคอ แสบคอเรื้อรัง จุกแน่นที่คอ และอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ


ความผิดปกติของกระเพาะอาหาร 

  • โรคกระเพาะอาหาร (Dyspepsia) ที่ตรวจไม่พบสาเหตุจากการส่องกล้อง
  • กระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า (Gastroparesis) ซึ่งทำให้เกิดอาการแน่นท้องหลังอาหารหรืออาเจียนเรื้อรัง
  • อาหารระบายออกจากกระเพาะเข้าลำไส้เล็กเร็วเกินไป (Dumping syndrome)
  • อาการอาเจียนเรื้อรังเป็นๆหายๆโดยไม่ทราบสาเหตุ (Cyclic vomiting syndrome)
  • อาการสำรอกอาหารจากกระเพาะอาหารเรื้อรัง (Rumination syndrome)


ความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารส่วนล่าง
ความผิดปกติของลำไส้ใหญ่

  • ภาวะท้องผูกเรื้อรัง (chronic constipation) 
  • โรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome: IBS)


ความผิดปกติของลำไส้เล็ก

  • ภาวะลำไส้อุดตันเทียม (intestinal pseudo-obstruction) ซึ่งมีอาการเหมือนลำไส้เล็กอุดตันแต่ตรวจด้วยการส่องกล้องหรือรังสีวิทยาแล้วไม่พบการอุดต้น
  • การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่ผิดปกติ (intestinal dysmotility)
  • ภาวะมีแบคทีเรียมากกว่าปกติในลำไส้เล็ก (small intestinal bacterial over growth, SIBO)


ความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ ทวารหนักและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

  • ภาวะกลั้นอุจจาระลำบาก (fecal incontinence)
  • ภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการหดตัวหรือคลายตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ตามที่ต้องการหรือเบ่งไม่เป็น (pelvic floor  dyssynergia) ทำให้เกิดอาการทัองผูก หรือกลั้นอุจจาระไม่ได้ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรักษาโดย biofeedback therapy หรือการฝึกการขับถ่ายด้วยเครื่องมือพิเศษ
  • ท้องผูกจากลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวผิดปกติ (delayed colonic transit) คือการที่มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ทำให้กากอาหารค้างในลำไส้ใหญ่นานกว่าปกติ ไม่ปวดอยากถ่าย ได้ ซึ่งสามารถตรวจได้โดยตรวจดูว่ากากอาหารเคลื่อนไหวช้าในลำใส้ใหญ่หรือไม่ (colonic transit study) หรือตรวจดูการเคลื่อนไหวหรือการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (colonic manometry)

ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Motility Center) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคดังนี้
 

1. การตรวจการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร (Manometry study) ได้แก่

  • การตรวจวัดการทำงานของหลอดอาหาร (esophageal manometry) ได้แก่ เป็นการตรวจดูการบีบตัวของหลอดอาหาร หูรูดหลอดอาหารทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ในผู้ป่วยที่มีอาการกลืนลำบาก เจ็บหน้าอก หรือสงสัยว่าเป็นโรคของการทำงานของหลอดอาหารที่ผิดปกติ รวมถึงตรวจก่อนใส่สารตรวจวัดกรดในหลอดอาหารในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน
  • การตรวจวัดการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น (antroduodenal manometry) มักตรวจในผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะมีการทำงานของกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กผิดปกติ เช่น ในผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน ท้องอืด หรือแน่นท้องมากโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือในผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีลำไส้เล็กอุดตันแต่ตรวจไม่พบว่ามีการอุดตันจากการส่องกล้องหรือเอ็กซเรย์
  • การตรวจวัดการทำงานของทวารหนักและหูรูดทวารหนัก (anorectal manometry) ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังที่สงสัยว่ามีการทำงานที่ผิดปกติของทวารหนักหรือมีสาเหตุจากการทำงานของกล้ามเนื้อกะบังลมส่วนล่างหรือหูรูดทวารหนักที่ผิดปกติ เป็นผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการถ่ายอุจจาระลำบาก และใช้ตรวจผู้ป่วยเด็กที่มีท้องผูกตั้งแต่แรกคลอดที่สงสัยว่าลำไส้ส่วนปลายไม่มีปมประสาทแต่กำเนิด
  • การตรวจวัดการทำงานของลำไส้ใหญ่ (colonic manometry) เป็นการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวช้าหรือไม่สามารถขับกากอาหารในลำไส้ใหญ่มาที่ทวารหนักได้ (delay colonic transit) ทำให้ทราบสาเหตุของความผิดปกติและสามารถประเมินได้ว่าผู้ป่วยสามารถรักษาอาการท้องผูกได้ด้วยยาหรือด้วยการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออก


2. การตรวจวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร 24 ชั่วโมง (24hr Esophageal pH-impedance testing) ทำได้ 2 วิธีคือ

  • ใช้สายวัดสอดผ่านทางจมูกลงในหลอดอาหารและทิ้งค้างไว้ เพื่อเก็บสัญญาณการติดตามวัดค่า 24 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วจึงนำมาวิเคราะห์ผลด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถตรวจวัดได้ทั้งน้ำย่อยไหลย้อนทั้งชนิดที่เป็นกรดและไม่เป็นกรด
  • ใช้ตัววัดเป็นแคปซูล โดยนำแคปซูลสอดผ่านกล้องส่องทางเดินอาหาร เพื่อนำไปติดไว้กับผนังหลอดอาหาร แคปซูลจะส่งสัญญาณเป็นคลื่นวิทยุแสดงผลการติดตามวัดค่าความเป็นกรดไปยังเครื่องรับที่อยู่ภายนอกร่างกายของผู้ป่วย และเมื่อเก็บผลการตรวจแล้ว แคปซูลจะหลุดออกและขับถ่ายออกมาเองตามปกติ ซึ่งสามารถตรวจวัดได้เฉพาะการไหลย้อนของน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่เป็นกรด


3. การทดสอบไฮโดรเจนทางลมหายใจ (H2 breath tests) เป็นการตรวจหาความผิดปกติของลำไส้เล็กที่สำคัญได้แก่

  • ภาวะมีแบคทีเรียมากกว่าปกติในลำไส้ล็ก (small intestinal bacterial overgrowth) ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการท้องอืดหรืออาการท้องเสียเรื้อรังได้
  • ภาวะการดูดซึมน้ำตาลแลกโตส (lactose malabsorption) หรือ ฟรุกโตส (fructose malabsorption) ผิดปกติ
  • ตรวจดูความเร็วของการเคลื่อนไหวของอาหารผ่านลำไส้เล็ก (Oro-cecal transit time)


4. วัดอัตราการไหลของน้ำลาย (Saliva flow rate test) เพื่อตรวจหาว่าผู้ป่วยมีภาวะน้ำลายน้อยซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเจ็บคอหรือ แสบคอเรื้อรังที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายกรดไหลย้อนได้


5. การรักษาโดยการฝึกขับถ่ายให้เป็นธรรมชาติ (biofeedback therapy​) สำหรับผู้ที่มีภาวะท้องผูกและผู้ที่กลั้นอุจจาระไม่ได้

  • ภาวะท้องผูก สาเหตุประมาณร้อยละ 40 ของภาวะท้องผูกเกิดจากการเบ่งถ่ายที่ผิดวิธีด้วยการออกแรงเบ่งพร้อมขมิบหูรุดทวารหนัก ทำให้แรงเบ่งไม่มากพอ อุจจาระไม่สามารถเคลื่อนออกมาได้ แพทย์หรือพยาบาลจะช่วยสอนให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะเบ่งและคลายให้ถูกวิธีด้วยเครื่องมือและเทคนิคที่ทันสมัย
  • ภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้ มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งผู้ป่วยบางคนเมื่อรู้สึกว่าอุจจาระมาอาจไม่รู้สึก หรือเมื่อต้องการขมิบหูรูดทวารหนักเพื่อกลั้นอุจจาระผู้ป่วยกลับกลั้นไม่เป็นกลายเป็นเบ่งอุจจาระแทน  ซึ่งทีมแพทย์และพยาบาลจะสอนให้ผู้ป่วยตอบสนองต่อความรู้สึกเวลามีอุจจาระมาที่ทวารหนัก และขมิบหูรูดทวารหนักให้ถูกวิธีโดยใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ทันสมัย
ทีมแพทย์ผู้ชำนาญหลากหลายสาขาและสหสาขาวิชาชีพทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วย ทีมงานของเราประกอบด้วย

การดูแลรักษาร่วมกันของทีมแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพ
 
  • แพทย์ผู้ชำนาญด้านการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร
  • ศัลยแพทย์
  • รังสีแพทย์
  • แพทย์พยาธิวิทยา
  • แพทย์กายภาพบำบัด
  • นักกายภาพบำบัด
  • นักโภชนาการ
  • เภสัชกรชำนาญด้านยารักษาโรคของระบบทางเดินอาหาร
  • พยาบาลผู้ได้รับการอบรมและมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยโรคของระบบทางเดินอาหาร

นัดหมายแพทย์โทร +66 63 190 3152

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Motility Center)
ชั้น 2 อาคาร บี  (DDC Center)

ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์

สาขาวิชาที่เชี่ยวชาญ

อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ

ดูประวัติ

ผศ.พญ. ฐนิสา พัชรตระกูล

สาขาวิชาที่เชี่ยวชาญ

อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ

ดูประวัติ

นพ. จรงกร ศิริมงคลเกษม

สาขาวิชาที่เชี่ยวชาญ

อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ

ดูประวัติ

นพ. ภัคพล รัตนชัยสิทธิ์

สาขาวิชาที่เชี่ยวชาญ

อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ

ดูประวัติ
    Scroll for more

Contact Number

  • บริการพบแพทย์ผ่าน VDO call (Tele-Consultation) คลิก

Service Hours

  • ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร
    วันอาทิตย์-ศุกร์
    8.00-20.00 น.
    วันเสาร์ 
    8.00-19.00 น.

Location

  • ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร
    ชั้น 2 อาคาร บี  (DDC Center)
คะแนนโหวต NaN of 10, จากจำนวนคนโหวต 0 คน

Related Health Blogs